10 ปี นนทรีย์ นิมิบุตร
สุดยอดผู้สร้างปรากฏการณ์ความยิ่งใหญ่แห่งภาพยนตร์ไทยตลอดทศวรรษ
11 เมษายน 2540
ระเบิดความร้อนแรง ขีดสุดความคลั่ง 2499 อันธพาลครองเมือง พลิกประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทย กวาดรายได้สูงสุด และกุมหัวใจคนดูทั้งประเทศ
23 กรกฎาคม 2542
พลิกตำนานความตายมิอาจมลาย หัวใจรักแห่ง นางนาก ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ ถล่มทุกสถิติความแรง ด้วยรายได้ถึง 150 ล้านบาท
28 กันยายน 2544
แหวกม่านปรารถนา ตัณหา และความลุ่มหลง จันดารา วังวนแห่งโลกีย์ ที่ถูกโจษขานกันมากที่สุดแห่งปี
12 กรกฎาคม 2545
นำความหลอนระทึกผ่านมิติกรรม ซ้ำคำสาปแช่งตราบชั่วโคตร อารมณ์ อาถรรพณ์ อาฆาต เปิดศักราชความยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์ไทยสู่ตลาดเอเชีย
26 ธันวาคม 2546
ส่งผ่านมิตรภาพ การเรียนรู้ชีวิตอันเรียบง่าย สู่ทุกหัวใจคนไทย โอเคเบตง ภาพยนตร์ไทยอบอุ่นใจที่สุดแห่งปี
12 สิงหาคม 2551
พลิกฟ้าสะเทือนพสุธา สยบห้วงนที ด้วยอภิมหากาพย์สงครามแห่งคาบสมุทร ปืนใหญ่จอมสลัด (Queens of Langkasuka) อภิมหาภาพยนตร์สุดอลังการ ที่จะสร้างปรากฏการณ์เหนือจินตนาการในทุกความทรงจำ
ชีวิตบนแผ่นฟิล์มของ นนทรีย์ นิมิบุตร
จริง ๆ แล้ว หลักการทำหนังของผมมันเรียบง่ายมากเลยนะครับ ผมยึดเอาความสุขเป็นหลัก ถือความอยากเป็นที่ตั้ง หนังทุกเรื่อง ทุกโปรเจ็คต์ ล้วนแต่เป็นความอยากของผมทั้งนั้น อยากเห็น อยากดู อยากรู้ อยากทำก็เลยทำ เพราะมันยังไม่มีใครทำให้ดู มีคนเคยถามผมว่า ผมสนใจมั้ยว่าตลาดเขาต้องการอะไร ผมว่าผมสนใจ แต่ผมไม่ได้สนใจว่าตลาดต้องการอะไร แต่ผมสนใจว่าตลาดขาดอะไร คือผู้ชมทั้งหลายเขายังไม่ได้ดูอะไรจากหนังไทย เพราะฉะนั้นผมจึงมักจะไปเติมเต็มช่องว่างตรงนั้น และเราก็อยากเป็นคนที่เป็นก้าวแรกของอุตสาหกรรมภาพยนตร์อยู่เสมอ คืออะไรที่เขาทำไปแล้วเราก็ไม่ค่อยอยากทำ เพราะฉะนั้นถ้ามันมีอะไรใหม่ ๆ ที่มันน่าสนใจกว่า ยังไม่มีใครทำ ผมก็อยากจะทำตรงนั้น และทำมันอย่างเต็มที่ ให้ทุกผลงานออกมาสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้

โลดแล่นอยู่บนเส้นทางภาพยนตร์มากว่า 1 ทศวรรษ (2540-2551) กับผลงานคุณภาพมากมาย นนทรีย์ นิมิบุตร ถือเป็นผู้กำกับภาพยนตร์, ผู้ควบคุมงานสร้าง (Producer) ที่สามารถได้รับการยกย่องอย่างเต็มปากว่า เป็นผู้บุกเบิกวงการภาพยนตร์ไทยยุคใหม่ และช่วยฟื้นฟูให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเข้าถึงกลุ่มคนดูยุคใหม่ ๆ ได้มากขึ้น หลังจากที่ระหว่างยุค พ.ศ. 2530-2540 ภาพยนตร์ไทยได้อยู่ในภาวะตกต่ำมาเป็นเวลานาน รวมถึงเป็นผู้ที่เข้ามาพลิกโฉมหน้าภาพยนตร์ไทยให้ก้าวสู่ระดับสากลอย่างเต็มภาคภูมิอีกด้วย
ชีวิตบนแผ่นฟิล์มของ นนทรีย์ นิมิบุตร
การศึกษา
- สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีจากคณะมัณฑณศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อปี พ.ศ. 2530
การศึกษา
- เริ่มทำงานในวงการบันเทิงโดยการเป็นผู้กำกับมิวสิควิดีโอให้กับบริษัทผู้ผลิตเทปชั้นนำของประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2517
- ผลิตงานสารคดีและละคร
- กำกับงานโฆษณาได้รับรางวัล แทคท์ อวอร์ด (TACT Award) ถึงสองครั้งจากโฆษณาโทรทัศน์ชุด "Max Liner" และ "Central Department Store"
- กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก 2499 อันธพาลครองเมือง ในปี 2540 และเรื่องที่สองคือ เรื่อง นางนาก ในปี 2542 ทั้งสองเรื่องได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างมาก และได้รับรางวัลจากทั้งสองเรื่องหลายรางวัลด้วยกัน
- ก่อตั้ง บริษัท ซีเนมาเซีย จำกัด ร่วมกับ ดวงกมล ลิ่มเจริญ ในปี 2543 เพื่อร่วมกันสานฝันที่จะพัฒนาวงการภาพยนตร์ไทย
- เป็นกรรมการสมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ และนายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย 2 สมัย
- เป็นคณาจารย์ในหลักสูตร Asian Film Academy หรือ AFA เป็นหลักสูตรที่ก่อตั้งขึ้นร่วมกับ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซาน ประเทศเกาหลี, คณะกรรมการภาพยนตร์เกาหลี, สถาบันศิลปะการทำภาพยนตร์ เกาหลี และมหาวิทยาลัย Dongseo มีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาวงการภาพยนตร์อาเซียนให้มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดโอกาสให้กับคนทำหนังรุ่นใหม่ได้ Workshop ร่วมกับผู้กำกับมืออาชีพทั้งหลายของเอเชีย
เกียรติคุณที่ได้รับ
- รับรางวัลบุคคลตัวอย่างแห่งปี สาขาผู้กำกับภาพยนตร์ มีนาคม 2545
- รับรางวัลนักศึกษาเก่าดีเด่นแห่งปี 2543 จากวิทยาลัยช่างศิลป กรมศิลปากร
- รางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเทพฯ จากภาพยนตร์เรื่อง "นางนาก" โดยสำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ ปี 2543
- สมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยศิลปากรมอบรางวัลนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร ดีเด่น แห่งปี 2541 ในฐานะผู้ประสบความสำเร็จ ในด้านประกอบอาชีพ เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2541
- ได้รับประกาศเกียรติคุณ ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ดีเด่นแห่งเอเชีย จากประธานาธิบดีอาโร่โย่ แห่งประเทศฟิลิปปินส์ ในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติซีเนมะนิลา ครั้งที่ 3 สมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ
ปืนใหญ่จอมสลัด (Queens of Langkasuka) ภพยนตร์เรื่องล่าสุดของ นนทรีย์ นิมิบุตร

ปืนใหญ่จอมสลัด (Queens of Langkasuka)
ก้าวที่กล้าและยิ่งใหญ่ สู่ทศวรรษใหม่บนแผ่นฟิล์มของ นนทรีย์ นิมิบุตร
จริง ๆ แล้วมันก็ครบรอบ 10 ปีแล้วกับการทำหนังใหญ่ คือผมถือว่าเรื่องนี้เป็นการทำหนังใหญ่ในโอกาสครบรอบ 10 ปีที่อยู่ในวงการภาพยนตร์มา สิ่งที่เราอยากจะคืนให้กับวงการภาพยนตร์ก็คือ ทำหนังที่มันมีความแตกต่างจากสิ่งที่เขาเคยมีอยู่มาโดยตลอด แม้กระทั่งหนังของตัวเองด้วยนะครับ คือเป็นการก้าวไปอีกขั้นหนึ่งของการทำงานที่มันเป็นโปรเจ็คต์ใหญ่มาก ๆ ที่มันมีความน่าตื่นตาตื่นใจ ในเรื่องของภาพ เรื่องของเรื่อง เรื่องของการแสดง เรื่องของอาวุธยุทโธปกรณ์ ทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่างพยายามจะทำให้มันดูใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมานะครับ ก็อยากจะให้หนังเรื่องนี้เป็นการคืนกำไรให้กับคนดูที่เขาสนับสนุนงานของเรามาตลอดและก็ถือว่าเรายอมเหน็ดเหนื่อย ใช้เวลาเต็มที่เวลา 5 ปีกว่า ๆ ยอมเหน็ดยอมเหนื่อยยอมทุกอย่าง เพื่อจะให้ผู้ชมได้รับสิ่งดี ๆ สิ่งที่แปลกใหม่ และก็สนุกสนานในการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ นั่นคือสิ่งที่ผมตั้งใจไว้
ผมเชื่อว่าสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่เราเชื่อว่ามันดีที่สุดแล้ว แล้วก็พยายามกันทำทุกวิถีทาง ทำทุกอย่างให้มันออกมาสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะฉะนั้นความพยายามความตั้งใจความทุ่มเทแรงใจแรงกายของผม, ทีมงาน และนักแสดงทุกคนเหล่านี้ ผมเชื่อว่าอย่างน้อยมันไม่น่าจะทำให้ใครผิดหวัง ผมเชื่อว่าผมอยากทำในสิ่งที่ผมอยากทำ ทำภาพยนตร์อย่างที่ผมอยากดู แล้วผมก็เชื่อว่ารสนิยมของผมกับคนดูหลาย ๆ คนในเมืองไทย มักจะตรงกันเสมอนะครับ และเมื่อหนังเสร็จแล้ว เราก็เห็นว่ามันถูกทาง มันไม่มีอะไรนอกเหนือออกไป หรือหลงทางออกไปจากสิ่งที่เราวางไว้ทั้งหมด
ปืนใหญ่จอมสลัด เป็นภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตที่ผมเคยทำมา ซึ่งผมว่ามันก็ถึงเวลาของมันแล้ว โปรเจ็คต์ใหญ่ ๆ แบบนี้ ต้องใช้ทั้งพลังและเวลาอย่างมาก ซึ่งเราก็ต้องทำในช่วงเวลาที่เรายังทำไหวอยู่ ยังสามารถเอามันได้อยู่ ถ้าผมจะคาดหวังอะไรจากมัน ผมจะหวังให้บอกตัวเองอยู่เสมอว่า จะทำหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้าย เพื่อที่ผมจะได้เต็มที่กับมันทุกครั้ง
เปิดตำนาน
400 ปีที่แล้ว ลังกาสุกะ รัฐอิสระต้องสูญเสีย รายาบาฮาดูร์ ชาห์ จากการถูกลอบปลงพระชนม์ ราชวงศ์ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการสถาปนา องค์หญิงฮีเจา (จารุณี สุขสวัสดิ์) ธิดาคนโตขึ้นเป็นรายาสตรีองค์แรกแห่งลังกาสุกะ แม้รายาฮีเจาจะปกป้องบ้านเมืองอย่างเข้มแข็ง แต่เหล่าแคว้นรอบด้าน รวมทั้งกลุ่มกบฏและโจรสลัดต่าง ๆ ล้วนหมายจะยึดครองดินแดนอันมั่งคั่งแห่งนี้
จนกระทั่ง ยานิส บรี ปราชญ์แห่งอาวุธชาวดัชท์ เดินทางมาพร้อมกับศิษย์เอกนักประดิษฐ์ชาวจีนนาม ลิ่มเคี่ยม (จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม) เพื่อนำมหาปืนใหญ่ อาวุธที่ดีที่สุดไปถวายรายาฮีเจาใช้ป้องกันบ้านเมือง แต่กลับถูกกลุ่มโจรสลัดที่นำโดย เจ้าชายราไว (เอก โอรี) และ อีกาดำ (วินัย ไกรบุตร) จอมสลัดผู้มีวิชาดูหลำอันแก่กล้า ซุ่มโจมตีเพื่อชิงมหาปืนใหญ่ จนทำให้เรือฮอลันดาระเบิด ยานิส บรีถึงแก่ความตาย กระบอกปืนใหญ่จมลงสู่ก้นทะเล เหลือเพียงแต่ลิ่มเคี่ยมเท่านั้นที่ยังรอดชีวิตอยู่
เหตุการณ์ครั้งนี้ยังเป็นเวลากำเนิดของ ปารี (อนันดา เอเวอริ่งแฮม) เด็กชายชาวเลผู้มีคุณสมบัติพิเศษในตัวที่จะสามารถฝึกวิชาดูหลำขั้นสูงได้ ปารีเติบโตเป็นหนุ่ม พร้อมกับสั่งสมทั้งความสามารถและความแค้นในการสะสางอีกาดำที่ทำให้พ่อและแม่ของตนต้องตาย ลิ่มเคี่ยมซึ่งช่วยชีวิตปารีในครั้งนั้นไว้ได้ หลบมาใช้ชีวิตอยู่กับหมู่บ้านชาวเล พร้อมประดิษฐ์อาวุธพิสดารมากมาย และตั้งกลุ่มก่อกวนตัดกำลังโจรสลัดขึ้น
ในอีกด้าน แม้ลังกาสุกะจะมีทหารเอกฝีมือเยี่ยมอย่าง ยะรัง (ชูพงษ์ ช่างปรุง) แต่ฮีเจาก็ยังจำเป็นต้องให้ อูงู (แอนนา รีส) น้องสาวคนเล็กของตนอภิเษกกับ เจ้าชายปาหัง (เจษฎาภรณ์ ผลดี) เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้ลังกาสุกะ แม้อูงูจะไม่เต็มใจก็ตาม ขณะที่ยะรังนั้นกลับตกหลุมรัก บิรู (แจ๊คกี้ อภิธนานนท์) องค์หญิงคนรอง แต่กลับไม่สามารถเปิดเผยความรู้สึกนั้นได้
การต่อสู้ของหลายฝ่ายก่อตัวขึ้น จนทำให้ปารีได้มาพบกับอูงู ทั้งคู่หลงไปติดเกาะร้างแห่งหนึ่ง เพื่อรักษาตัวจากบาดแผล ที่นั่น
ปารีได้ฝึกวิชาดูหลำชั้นสูงจาก อาจารย์กระเบนขาว (สรพงษ์ ชาตรี) ปรมาจารย์ทางดูหลำ และค้นพบว่า ดูหลำคือวิชาที่มีทั้งด้านสว่างที่ทรงพลังและด้านมืดที่น่ากลัว ยากจะควบคุมจิตใจเอาไว้ได้ พร้อมกับที่ความรักของทั้งปารีและอูงูได้งอกงามขึ้น
ขณะเดียวกัน ลิ่มเคี่ยมกุญแจสำคัญในการสร้างปืนใหญ่ กลับถูกกลุ่มสลัดจับตัวเป็นเชลยไว้ได้ และถูกบังคับให้ต้องสร้างปืนใหญ่ที่จะนำมาใช้ทำลายล้างรัฐลังกาสุกะ
สงครามครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้น โดยลังกาสุกะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะกองทัพโจรสลัดกลับสามารถกู้มหาปืนใหญ่ในตำนานนั้นจากก้นทะเลไว้ได้ ลังกาสุกะเป็นเป้าหมายของการทำลายล้าง มีเพียงยะรังนักรบผู้กล้า, ปัญญาของลิ่มเคี่ยม, อูงูผู้พร้อมสละทั้งชีวิตและความรักเพื่อแผ่นดิน และพลังดูหลำอันลึกลับของปารีเท่านั้น ที่จะต่อกรกับแสนยานุภาพจากกองทัพโจรสลัดเอาไว้ได้
หลากชีวิตหลายสีสันใน ปืนใหญ่จอมสลัด
ราชินีลังกาสุกะ - ครองผืนน้ำ แผ่นฟ้า มหาสมุทร

รัฐของเราเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ในแถบนี้ย่อมเป็นที่หมายปอง ของผู้ละโมบโลภมากเสมอ ความไม่สงบบังเกิดขึ้นทั้งจากภายในและภายนอก แต่ขอพวกท่านจง วางใจ เราไม่นิ่งเฉยต่อเรื่องนี้แน่
ราชินีฮีเจา (จารุณี สุขสวัสดิ์) - เป็นกษัตริย์ที่เป็นสตรีพระองค์แรกแห่งรัฐลังกาสุกะ มีบุคลิกอ่อนนอก แข็งใน กล้าหาญ อดทน ไม่ยอมแพ้ในเรื่องใด ๆ เป็นนักการเมืองที่ทันเกมคน ปกครองบ้านเมืองด้วยความเข้มแข็งไม่แพ้เพศชาย แต่ก็แฝงไว้ด้วยเมตตาธรรม กองถ่ายนี้หรือคะ บรรยากาศกองถ่ายนี้ก็สนุกดีค่ะ เพราะว่ามีคนทำงานเยอะแยะไปหมด และทุก ๆ คน ทุก ๆ ฝ่ายก็ตั้งใจทำงานในส่วนของตนกันอย่างดีมาก ๆ มีน้อง ๆ ที่น่ารัก มีนักแสดงเยอะมาก แต่ตัวเองเนี่ยไม่ค่อยได้มีโอกาสไปร่าเริงเกินขนาดนักนะคะ เพราะศีรษะก็หนักแล้วค่ะ (พูดถึงเครื่องสวมศีรษะและเครื่องแต่งกายที่อลังการมาก) เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็หนักเหมือนกันค่ะ พอใส่แล้วก็จะเหมือนถูกบังคับให้ต้องนิ่ง ๆ ไปโดยปริยายน่ะค่ะ
สงครามให้กำเนิดความสูญเสียไม่จบสิ้น
เจ้าหญิงบิรู (แจ๊คกี้ อภิธนานนท์) - บุคลิกอ่อนโยน เงียบขรึม ไม่ชอบพูดมาก เก็บความรู้สึกภายในใจ มีความเป็นศิลปินมากกว่านักรบ มีความสามารถทางการทูต สื่อสารได้หลายภาษา

ยากค่ะ ยากที่การแสดงอารมณ์ เพราะว่าบิรูเขาจะไม่ค่อยพูดมาก ต้องมีอารมณ์แบบเศร้า แต่ว่าแจ็คกี้นี่เป็นคนหน้ายิ้ม นิดเดียวก็จะดูเป็นยิ้ม ก็เลยต้องแบบเศร้าเราต้องทำอารมณ์ที่หน้า คำพูดไม่ค่อยเท่าไหร่ สมมติพูดอยู่แค่ประโยคเดียว แต่ว่ามันเหมือนแบบอุ๊ย...ง่ายท่องแล้วสคริปต์ พอไปถึงจริง ๆ อุ๊ย...มันยากจังเลย มันต้องทำอารมณ์ มันต้องอะไรอย่างนี้ พยายามไม่ให้หลุดบ่อย

เราทำในสิ่งที่เราอยากทำได้เพียงบางครั้งเท่านั้น แต่นอกนั้นเราทำในสิ่งที่ต้องทำเสมอ
เจ้าหญิงอูงู (แอนนา รีส) - บุคลิกร่าเริง กล้าหาญ พูดจาฉะฉานเหมือนชาย คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น ไม่เก็บความรู้สึกไว้ภายในนาน มีความสามารถในการต่อสู้มากที่สุดในบรรดาสามศรีพี่น้อง
จริง ๆ ก็ไม่เลยนะคะ เพราะว่าแอนนาพยายามจะไม่กดดันมากกว่าค่ะ ทำงานสบาย ๆ อะไร ๆ มันก็คงจะดี ไม่ค่อยซีเรียสอะไรมาก คือแอนนาไม่อยากไปเกร็ง หรือว่าไปคิดมากมายเกินไป คือเขาสั่งมายังไง แอนนาก็พยายามทำตรงนั้นให้ดีที่สุด พอผ่านไปได้เราก็โอเคแล้ว เพราะว่าถ้าแอนนาไปเกร็งมาก แอนนาจะรู้ตัวเองเลยค่ะว่ามันจะออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ส่วนที่ได้มาแสดงกับพี่ ๆ นักแสดงเก่ง ๆ ทั้งนั้นเลยเนี่ยรู้สึกกดดันมั้ย แอนนาก็อาจจะมีนิดหนึ่งนะคะ แต่จะรู้สึกดีซะมากกว่า เพราะว่าพี่ ๆ เขาก็ช่วยแอนนาไปในตัวไงคะ แอนนาก็จะดูพี่ ๆ เขาเป็นตัวอย่าง ก็คือได้พี่ ๆ เขาเป็นตัวอย่างในการแสดงไปในตัว ก็ไม่ได้กดดันอะไรมากเลยค่ะ
ผู้พิทักษ์แห่งลังกาสุกะ - ทุกหยาดโลหิต อุทิศให้ลังกาสุกะ

สำหรับข้า การได้รับใช้แผ่นดินลังกาสุกะ ถือเป็นเกียรติแก่ชีวิต
ยะรัง (ชูพงษ์ ช่างปรุง) - นายทหาร ลูกเลี้ยงของอำมาตย์ยะหริ่ง มีความกล้าหาญ ฉลาด ตรงไปตรงมา เก็บความรู้สึกได้ดี ใจเย็น มีฝีมือด้านการรบ จึงได้รับความไว้วางใจในการเป็นทหารเอกของลังกาสุกะ
ในส่วนของดราม่าก็เยอะขึ้นมากครับ ส่วนมากก็จะไม่ค่อยพูดถึงความสนุกสนานของยะรัง คือยะรังต้องเป็นคนที่นิ่ง เงียบขรึม เป็นผู้นำอะไรอย่างนี้ จะออกไปแนวแบบดราม่านิ่ง ๆ จะแสดงออกทางสีหน้ามากกว่าไดอะล็อกที่พูดนะครับ ก็รู้สึกว่าเล่นยากพอสมควร เพราะว่าจะต้องใช้แอ็คติ้งสื่อมากกว่าไดอะล็อกพูดครับ

ข้าคือ อับดุล กาฟูร์ โมไฮดิน แขกเมืองของลังกาสุกะ
เจ้าชายปาหัง (เจษฎาภรณ์ ผลดี) - เป็นเจ้าชายรูปงามแห่งรัฐปาหัง อภิเษกสมรสกับองค์หญิงอูงู เพื่อเสริมสัมพันธ์ไมตรีระหว่างรัฐลังกาสุกะกับรัฐปาหัง มีบุคลิกที่ดูสง่างาม เฉลียวฉลาด
จะว่าไปการร่วมงานครั้งนี้ก็ไม่ค่อยแตกต่างจากเรื่องแรกเมื่อ 10 ปีที่แล้วเลยนะ เหมือนเพิ่งร่วมงานเมื่อปีที่ผ่านมาเอง ผมว่าบรรยากาศมันยังเหมือนเดิม แต่ว่าสิ่งที่เราเห็นก็คือผู้กำกับคนนี้ของเราเนี่ย เขาจะโตขึ้นอย่างมากเลยจาก 2499 อันธพาลครองเมือง ที่ก็เป็นหนังไทยที่ฟอร์มขนาดประมาณกลาง ๆ นี้ แต่ว่าตอนนี้พี่อุ๋ยทำหนังฟอร์มใหญ่มาก และก็เป็นสเกลที่ใหญ่มาก ๆ และก็ต้องคุมโทนแบบทุกอย่าง เรื่องรายละเอียดต่าง ๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นนะครับ รวมไปถึงทางโปรดักชั่นด้วยนะครับ ทางฝ่ายอาร์ทอย่างพี่เอก เอี่ยมชื่น เราก็จะเห็นว่าพี่เอกมีความเติบโตแบบมาก ๆ ด้วยเช่นกันนะครับ โตขึ้นตามสเกลของภาพยนตร์ไปเรื่อย ๆ เราเห็นแล้วเราก็รู้สึกทึ่ง เราเองก็อยากจะโตตามเขาไปด้วยเหมือนกันนะครับ
ู้เผ่าทะเล - มหาศาสตร์แห่งน้ำ คือกุญแจสำคัญแห่งชัยชนะ

จงปล่อยให้ทุกอย่างจบสิ้นที่ตัวเจ้า แล้วเจ้าจะเข้าใจความว่างของชีวิต
ปารี (อนันดา เอเวอริ่งแฮม) - บุคลิกเคร่งขรึม ซึมเศร้า โกรธแค้นเพราะความแค้นที่ถูกปลูกฝัง แต่ในส่วนลึกยังมีนิสัยที่มีเมตตา เก็บอารมณ์ไว้ภายใน ไม่เปิดเผยออกมา หากรักใครก็จะไม่ยอมบอก ผ่านความลำบากในการฝึกวิชาดูหลำจนแก่กล้า และเป็นผู้นำของชาวเลในการสู้รบกับเหล่าโจรสลัดอย่างอาจหาญ
ผมว่าตัวละครที่เราเล่นทุกตัว มันหนีจากตัวเราเองค่อนข้างมากอยู่แล้ว ซึ่งจริง ๆ แล้วการแสดงที่แท้จริงเนี่ย มันก็ต้องฉีกจากสิ่งที่เราเป็น ผมก็ย้อนกลับไปเรื่องเดิม ผมว่าพอเรื่องนี้มันจะหนักไปทางสงคราม หนักไปทางตัวละครที่มันดูแรงไปหมด ผมก็รู้สึกว่ามันต้องมีตัวละครที่มัน Soft หน่อย เพื่อมารับผิดชอบส่วนของความรักของตัวละครที่มันจะพูดถีง สิ่งที่มันนอกเหนือจากสงคราม สิ่งที่มันสวยงามหน่อย สิ่งที่มีความหวังอะไรอย่างนี้ และในส่วนนั้นเนี่ยอาจจะคล้ายกับผมจริง ๆ อะไรอย่างนี้ ผมเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีหน่อย ถ้าในส่วนนั้นผมว่าคล้าย แต่ถ้าไปคิดถึงบุคลิกภายนอกมันคนละเรื่องกันเลย และภาษาพูดมันก็คนละเรื่องกันเลยครับ

วิชาดูหลำคือการรวมพลังคนเข้ากับพลังปลา สัตว์และมนุษย์ทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมตัณหา ตัณหาของปลาคืออาหาร ตัณหาของคนคือ ราคะ อำนาจ ความเกลียด ความโลภ ความแค้น
กระเบนขาว (สรพงษ์ ชาตรี) - เป็นคนซื่อสัตย์ ยุติธรรม มีเมตตา เป็นปรมาจารย์ทาง วิชาดูหลำ คือวิชาเรียกปลาหรือใช้พลังเสียงในการควบคุมพวกสัตว์น้ำให้มาเป็นพวกได้ แต่จิตใจอันโหดเหี้ยมที่ฝังลึกอยู่ในตัวจะเผยธาตุแท้ออกมา เมื่อควบคุมสติไม่อยู่ เรียกว่ามีทั้งด้านธรรมะและอธรรม แตกต่างมากเลยครับ พูดถึงว่าบทน่ะดี เพราะว่าจริง ๆ แล้วเราอายุวัยนี้แล้วจะไปมัวทำหน้าใส หน้าหวาน ผ่านมา 400 กว่าเรื่องมันปกตินะครับ ไม่มีใครเขาอยากดู แล้วเป็นนักแสดงมันก็ต้องทำอะไรที่มันยากขึ้น ทำง่ายลงมันก็ไร้ค่า ใช่ไหม ก็ต้องทำอะไรที่มันยาก แล้วก็เป็นตัวอย่างของนักแสดงว่าอย่างนี้ ก็เมื่อบทมันเป็นอย่างนี้ คุณจะทำได้ดีหรือเปล่า คุณจะเป็นกระเบนขาวได้ไหม เพราะเขาไม่ได้จ้างให้คุณมาเป็นสรพงษ์ สรพงษ์เอาไว้เบื้องหลังน่ะครับ แต่ก็คุณจะต้องเป็นตัวกระเบนขาวในเรื่องให้ได้

อาจารย์ ปืนใหญ่มหาลาโลของข้าจะไม่แพ้มหาปืนใหญ่ของท่านแน่นอน
ลิ่มโต๊ะเคี่ยม (จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม) - ชาวจีนผู้กล้าหาญ รักการผจญภัย กล้าได้กล้าเสีย แต่ไม่โผงผาง สุขุม ไม่โกรธง่าย เป็นนักวางแผนและนักประดิษฐ์ที่ดี เป็นกุญแจสำคัญในการประดิษฐ์ปืนใหญ่เพื่อสู้รบกับฝ่ายโจรสลัด
บรรยากาศในกองถ่ายในการร่วมงานกัน เป็นบรรยากาศที่ดีแล้วก็เหมือนมีความเป็นพี่น้องอยู่ในกองถ่ายทุกคนมีความรับผิดชอบ เอื้ออาทรต่อกัน และโดยเฉพาะการร่วมงานกับคุณนนทรีย์ นิมิบุตรเนี่ย ทำให้ผมมีความประทับใจในตัวเขาและหลาย ๆ อย่างที่ผมได้รับจากพี่อุ๋ยเลย คือความรู้ที่สามารถนำไปประกอบอาชีพได้จนตลอดชีวิต โดยเฉพาะเรื่องของการรับรู้และรู้สึกในเรื่องของอารมณ์การแสดงตัวเองตามบทละครตัวนั้น ผมเองอาจจะไม่สามารถที่จะมีความรู้พอที่จะตีความรู้สึกได้ออกจากตัวหนังสือที่เขียน ผมอ่านไปผมก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่สิ่งที่คนที่ทำให้ผมรู้สึกได้ตามตัวอักษรนั่นคือพี่อุ๋ย ทำให้ผมมีอารมณ์ร้องไห้ได้ โกรธ เกลียด เคียดแค้น หรือสนุกสนานไปกับบทที่ผมต้องเล่น นั่นคือการใช้ชีวิตในกองถ่ายที่สนุกมากครับ
จอมสลัดอันดามัน ห้วงสมุทร มิอาจหยุดความอหังการ

หากเราร่วมมือกัน การบุกลังกาสุกะก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ข้าขอให้เรื่องนี้เป็นเพียงเสียงกระซิบระหว่างเรา จงมาร่วมกันกระซิบให้ชื่อของเราดังกึกก้องท้องทะเลกันเถอะ
เจ้าชายราไว (เอก โอรี) - เจ้าชายผู้เงียบขรึม ไม่พูดมาก แต่ในใจเต็มไปด้วยความเกลียดชัง มองโลกในแง่ร้าย เจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่ไว้ใจใครเลย น้ำนิ่งไหลลึก ใจเหี้ยมเกรียม เป็นคนประเภทที่หากขาข้างหนึ่งติดในกับดัก ก็สามารถตัดมันทิ้งเพื่อเอาตัวรอดได้
ฉากที่ต้องดูให้ได้ ถ้าถามผม ๆ จะไม่เอาใจหนังตัวเอง แต่ผมจะบอกว่าทุกฉาก ๆ เพราะว่าทุกคนตั้งใจแล้วก็ร่วมกันทำงานอย่างเต็มที่ เพราะว่าฉากผม ผมก็อยากดูของผม คนอื่นก็อยากดูของเขา แต่ว่าพอพวกเรามาร่วมกัน ก็เลยอยากจะดูทั้งเรื่องเลยครับ

คราวนี้ข้าลงมือเอง ท่านวางใจเถอะ
อีกาดำ (วินัย ไกรบุตร) - หัวหน้าโจรสลัด ที่คอห้อยสร้อยเขี้ยวปลาฉลามพวงใหญ่ ไม่ใช่คนเลวโดยสันดาน แต่สถานการณ์ทำให้เลว และเกิดติดใจในอำนาจของความเลว เป็นมือขวาของเจ้าชายราไว ในการทำศึกกับแคว้นลังกาสุกะ
จริง ๆ แล้วคือชอบอยู่แล้วที่ได้เปลี่ยนบทบาท ไม่ได้ติดว่าต้องเป็นพระเอกนะ เป็นพระเอกเราก็ไม่รู้สึกนะ เฮ้ย...เราต้องเป็นพระเอกตลอดไป มีบทร้ายบ้าง บทพระเอกบ้าง หรือบทตัวเด่นเป็นตัวสำคัญ เราก็มีความสุขที่ได้เล่น เราเป็นนักแสดงเราอยู่ในวงการบันเทิงมันต้องให้มันไปตามสเต็ปของมัน มันก็ฝืนไม่ได้ มันยุคใครยุคมัน ก็พยายามจะดูบทที่เหมาะสมกับตัวเอง แล้วก็เหมาะกับความสามารถที่จะเล่น แล้วก็เหมาะกับคาแร็คเตอร์หรือว่าอะไรที่แปลกออกไปที่เรายังไม่เคยเล่นครับ
|